เอล ดาร์บี้ มาดริด: จากความเหลื่อมล้ำ สู่การต่อสู้ระหว่างชนชั้น และความเกลียดชังที่ฝังรากมายาวนาน

Nopphasin Kulabburi

เอล ดาร์บี้ มาดริด: จากความเหลื่อมล้ำ สู่การต่อสู้ระหว่างชนชั้น และความเกลียดชังที่ฝังรากมายาวนาน image

“เราต้องการคู่แข่งที่คู่ควรกับดาร์บี้นี้”
แบนเนอร์ผืนใหญ่ที่กองเชียร์เรอัล มาดริด ชูขึ้นในเกมเปิดบ้านรับแอตเลติโก มาดริด เมื่อปี 2011 คือข้อความที่สะท้อนสถานะในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน

เพราะเวลานั้น “ตราหมี” กำลังอยู่ในช่วงที่ถูกกดหัวอย่างยาวนาน  แพ้รวดในศึกดาร์บี้ถึง 25 นัด ติดต่อกันนานกว่า 13 ปี แม้จะออกนำก่อนในคืนนั้น แต่การโดนไล่ผู้รักษาประตู (ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ที่ยืมมาจากเชลซี) ทำให้เกมจบลงด้วยสกอร์ 4-1  อีกหนึ่งคืนที่ความพ่ายแพ้กลายเป็นความเคยชิน

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในนัดชิง โกปา เดล เรย์ 2013 ที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อแอตเลติโกในยุคของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ล้มยักษ์ได้สำเร็จ 2-1 ในช่วงต่อเวลา และยิ่งเจ็บแสบเข้าไปอีก เมื่อ “กาบี้” กัปตันทีมตราหมี ได้รับถ้วยแชมป์ต่อหน้าสายตา กษัตริย์ฆวน คาร์ลอส ผู้ซึ่งเป็นแฟนราชันโดยกำเนิด

จากวันนั้น สถานะดาร์บี้เปลี่ยนไปทันที  43 เกมหลังจากนั้น แทบจะสูสีทุกระเบียดนิ้ว (มาดริดชนะ 16, เสมอ 15, แอตเลติโกชนะ 12) และหลายครั้งที่กลายเป็นศึกเดือดตัดสินในเวทียุโรป

จาก “เจ้านายกับลูกน้อง” สู่ “คู่ปรับที่ไม่ยอมก้มหัว”

หากย้อนกลับไปยังยุคก่อตั้ง ภาพลักษณ์ของสองทีมต่างกันชัดเจน 

  • เรอัล มาดริด คือสโมสรของชนชั้นสูง เติบโตคู่กับความมั่งคั่งของย่านเบร์นาเบว และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในสเปน

  • แอตเลติโก มาดริด ถูกขับเคลื่อนโดยแฟนบอลจากชนชั้นแรงงาน โดยเฉพาะแถบใกล้สนามบิเซนเต้ กัลเดร่อน ความเป็น “คนนอก” ถูกบ่มเพาะมาตลอดยุค 80–90 และยิ่งแข็งแรงขึ้นในยุคของ เฆซุส กิล อดีตประธานที่เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องฉาว

ในยุคของ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ตำนานราชันยังเคยยอมรับว่า:
“คู่แข่งของเราคือแอตเลติโก ไม่ใช่บาร์เซโลน่า เพราะความพ่ายแพ้ต่อพวกเขาจะตามหลอนคุณทั้งสัปดาห์ ไม่ใช่แค่ 90 นาที”

แม้โลกฟุตบอลเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ยกระดับเรอัล มาดริดขึ้นสู่สถานะ “ฮอลลีวูดของวงการกีฬา” ด้วยกาลาติกอส ทั้ง ซีดาน, โรนัลโด้, เบ็คแฮม จนถึงยุค เบลลิงแฮม และ เอ็มบัปเป้ แต่สำหรับชาวตราหมี  การชนะเพื่อนบ้านผู้ยิ่งใหญ่ยังคงเป็นรางวัลที่หวานที่สุด

ซิเมโอเน่ กับการเปลี่ยนชะตากรรม

การมาของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ในปี 2011 เปลี่ยน “ตราหมี” ให้กลายเป็นทีมที่ไม่กลัวใครอีกต่อไป — จากทีมที่เคยเป็นเพียงเงา กลายเป็นคู่แข่งที่พร้อมกัดไม่ปล่อย พาทีมคว้าแชมป์ลาลีกา, ยูโรป้า ลีก และไล่ล่าถ้วย UCL ถึงรอบชิงสองครั้ง

แม้โชคชะตาจะโหดร้าย  อย่างประตูตีเสมอของ เซร์คิโอ รามอส นาที 93 ในปี 2014 หรือการพลาดจุดโทษของ ฆวนฟราน ในปี 2016 แต่ความดุดันและสปิริต “โรบินฮู้ด” ของซิเมโอเน่ก็ปลุกความศรัทธาของแฟนบอลแอตเลติโกจนกลายเป็นเอกลักษณ์

ดาร์บี้ที่กลายเป็นสมรภูมิ

แต่ความสูสีนี้ ก็นำมาซึ่งบาดแผลนอกสนามที่รุนแรงขึ้น 

  • แฟนบอลหัวรุนแรงของแอตเลติโกสร้างปัญหาทางอาญา

  • วินิซิอุส จูเนียร์ ถูกเหยียดผิวอย่างรุนแรง ทั้งเสียงตะโกนในสนาม จนถึงการนำหุ่นจำลองไปแขวนคอข้างถนน

  • เหตุการณ์วุ่นวายในเกม UCL ล่าสุดที่ รือดิเกอร์ และ เอ็มบัปเป้ ทำท่าทางยั่วยุแฟนบอลจนโดนโทษปรับหลังจบเกม

ความเกลียดชังจึงถูกสานต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะด้วยปมในสนามหรือการแย่งชิงเยาวชนจากอะคาเดมี

วันนี้ ศึกยังคงเดือด

แม้เรอัล มาดริด ภายใต้ ชาบี อลอนโซ่ จะกลับมาร้อนแรงเต็มสูบด้วยขุมกำลังใหม่ ส่วนแอตเลติโก แม้ลงทุนมหาศาลแต่ยังสะดุดอยู่หลายเกม  สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือความเข้มข้นของ เอล ดาร์บี้ มาดริเลโญ่

นี่ไม่ใช่แค่เกมฟุตบอล แต่คือสงครามแห่งอัตลักษณ์ ความแตกต่างทางชนชั้น และประวัติศาสตร์ที่สั่งสมมาเกือบศตวรรษ  ทุกครั้งที่เสียงนกหวีดดังขึ้นในดาร์บี้นี้ จึงไม่ใช่แค่ 90 นาที แต่มันคือ

“สงครามย่อมๆ ของเมืองมาดริด” ที่จะไม่มีวันจบลงง่ายๆ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Nopphasin Kulabburi

นักเขียน Sporting News Thailand ที่ติดตามทั้งกีฬาฟุตบอล, บาสเก็ตบอล รวมถึงแวดวงอีสปอร์ต