มูนิซิปัล เด เอล อัลโต : สนามลับสูง 4,000 เมตร ที่ทำให้ โบลิเวีย ได้ลุ้นตั๋วบอลโลกรอบสุดท้าย

Maruak Tanniyom

มูนิซิปัล เด เอล อัลโต : สนามลับสูง 4,000 เมตร ที่ทำให้ โบลิเวีย ได้ลุ้นตั๋วบอลโลกรอบสุดท้าย  image

แทบจะฉลองกันทั้งประเทศสำหรับ ทีมชาติโบลิเวีย เมื่อชัยชนะเหนือ บราซิล 1-0 ทำให้พวกเขาคว้าตั๋วเพลย์ออฟลุ้นไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย 

ทั้งนี้ นอกจากผลงานในสนามแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของความสำเร็จนี้ คือ เอสตาดิโอ มูนิซิปัล เด เอล อัลโต รั้งเหย้าแห่งใหม่ที่เพิ่งย้ายมาใช้งานตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา 

เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? ติดตามไปพร้อมกัน

นรกทีมเยือน 

โบลิเวีย อาจจะไม่ใช่จากอเมริกาใต้ที่หลายคนคุ้นหูเท่ากับ บราซิล หรือ อาร์เจนตินา แถมไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นในระดับคว้าแชมป์ทวีปได้เป็นกอบเป็นกำ แต่พวกเขาก็ได้รับการขึ้นชื่อว่าเป็นทีมที่โหดที่สุดหากต้องไปเยือน 

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะภูมิประเทศของโบลิเวีย ตั้งอยู่บนแนวเทิอกเขาแอนดีส ที่ทำให้นครลาปาซ ซึ่งเป็นที่ตั้งของรังเหย้าอย่าง เอสตาดิโอ เฮอร์นันโด ซิเลส อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,637 เมตร

ด้วยสภาพอากาศที่เบาบางจากความสูงขนาดนี้ ทำให้มีหลายทีมที่กลายเป็นเหยื่อสังเวยของ โบลิเวีย ยามต้องมาเยือนที่นี่ หนึ่งในนั้นคือ อาร์เจนตินา ที่เคยบุกมาพ่ายถึง 6-1 เมื่อปี 2009 

“ทุกประตูเหมือนเอามีดแทงมาที่หัวใจผม” ดิเอโก มาราโดนา กุนซือของฟ้าขาวในตอนนั้นกล่าว 

อันที่จริงการเลือกใช้รังเหย้าที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงหลายพันเมตรของ โบลิเวีย ก็เคยถูกแบนจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า มาก่อน โดยให้เหตุผลเรื่องความอันตรายต่อนักกีฬา โดยเฉพาะเรื่องหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ และหายใจลำบาก 

อย่างไรก็ดี หลังจาก ฟีฟ่า ประกาศแบนห้ามทุกทีมใช้สนามที่อยู่ในระดับความสูงมากกว่า 2,500 เมตรในปี 2007 ก็เกิดเสียงต่อต้าน ที่ไม่ใช่แค่ โบลิเวีย แต่รวมไปถึงประเทศที่ตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาแอนดีส อย่าง เอกวาดอร์, โคลอมเบีย และ เปรู  

ทำให้สุดท้ายในปี 2008 ฟีฟ่า ต้องยกเลิกกฎดังกล่าว และทำให้สนามเหย้าในนครลาปาซ ถูกกลับมาใช้เป็นอาวุธลับของ ทีมชาติโบลิเวีย ในการจัดการคู่แข่งอีกครั้ง 

แน่นอนว่ามันย่อมตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคู่แข่ง ยามต้องมาเล่นที่สนามแห่งนี้ หนึ่งในนั้นคือ เนย์มาร์ ที่พาทีมชาติบราซิล บุกมาเยือนเมื่อปี 2017 ก่อนจะกลับไปด้วยสกอร์เสมอ 0-0 

“ป่าเถื่อนเหลือเกินที่ต้องเล่นได้ในเงื่อนไขเช่นนี้ ทั้งสภาพสนาม ความสูง ลูกบอล ทุกอย่างแย่ไปหมด” เนย์มาร์กล่าวใน Instagram 

เขาไม่ได้เขียนข้อความเพียงอย่างเดียว แต่ยังโพสต์รูปตัวเอง และเพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลต้องสวมหน้ากากอ็อกซิเจนหลังจบเกม ซึ่งเป็นภาพที่ชวนแปลกตา 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เนย์มาร์ และทีมชาติบราซิล เจอในตอนนั้น ยังไม่ใช่ที่สุด 

โหดขั้นสุด 

ฟุตบอลโลก ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ที่หลายคนใฝ่ฝัน เช่นกันกับ โบลิเวีย ที่อาจจะไม่ใช่ทีมดัง แต่พวกเขาก็เคยไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 3 ครั้ง

ครั้งแรกต้องย้อนกลับไปในฟุตบอลโลกฉบับปฐมฤกษ์ในปี 1930 ที่พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับเชิญไปลงเตะในทัวร์นาเมนต์ที่ อุรุกวัย ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งในปี 1950 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ 

ส่วนครั้งล่าสุดที่ โบลิเวีย ได้ไปสัมผัสเวทีฟุตบอลโลก ก็คือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่สหรัฐอเมริกาเป็นหน้าเสื่อจัดการแข่งขัน ซึ่งพวกเขาก็จอดป้ายตั้งแต่รอบแรก ด้วยสถิติ เสมอ 1 แพ้ 2 

ทำให้ฟุตบอลโลก 2026 ที่จะถึงนี้ โบลิเวีย หมายมั่นปั้นมือที่กลับไปเล่นในรอบสุดท้ายให้ได้ หลัง ฟีฟ่า ขยายโควต้ามากถึง 48 ทีม และทำให้ โซนอเมริกาใต้มีตั๋วมากถึง 7.5 ที่นั่ง ให้ร่วมชิงชัย 

แต่ความหวังก็แทบจะดับลงตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อในรอบคัดเลือก 5 เกมแรก โบลิเวีย เผชิญกับความปราชัยไปแล้วถึง 3 เกม จมอยู่ในตำแหน่งรองบ๊วยของตาราง 

โบลิเวีย ต้องแก้เกมอย่างเร่งด่วน เริ่มจากปลด อันโตนิโอ คาร์ลอส ซาโก กุนซือชาวบราซิล ออกจากตำแหน่ง พร้อมกับแต่งตั้ง ออสการ์ บิลเลกัส เฮดโค้ช ชาวโบลิเวีย ขึ้นมาแทน 

แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์กว่านั้น คือการเปลี่ยนรังเหย้าจาก เอสตาดิโอ เฮอร์นันโด ซิเลส ไปใช้ เอสตาดิโอ มูนิซิปัล เด เอล อัลโต ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,150 เมตร 

“ฟุตบอลประกอบขึ้นจากรายละเอียดต่างๆ มันไม่ได้หมายความว่าสิ่งนี้ (การเปลี่ยนสนาม) จะทำให้เราชนะ” บิลเลกัส กล่าวก่อนเกมกับ เวเนซุเอลา ซึ่งเป็นนัดแรกที่ประเดิมรังเหย้าใหม่ 

“เราพยายามใส่ใจทุกรายละเอียด ที่ทำให้เรามีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม” 

“ที่เอล อัลโต เราจะพยายามอย่างเข้มข้น และปล่อยให้พวกเขาได้รู้ว่านี่คือสนามใหม่ที่จะไม่มีใครเอาชนะพวกเขาได้” 

“มุมมองทางจิตวิทยาและอารมณ์ มีบทบาทเช่นนั้น มันเป็นอะไรที่ช่วยเราได้มากเลย” 

และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เมื่อ โบลิเวีย ประเดิมรังเหย้าใหม่ ด้วยการเอาชนะ เวเนซุเอลา ไปได้ถึง 4-0 ตามมาด้วยเฉือนชนะ โคลอมเบีย 1-0 และเสมอกับ ปารากวัย 2-2 ใน 3 นัดแรกที่ เอล อัลโต 

จริงอยู่ที่ โบลิเวีย ออกไปเล่นเกมเยือนได้ไม่ดี แต่เกมในบ้านพวกเขาก็เก็บเรียบแบบไร้พ่าย ไล่ตั้งแต่ เสมอกับ อุรุกวัย 0-0 คว้าชัยเหนือ ชิลี 2-0 ก่อนจะปิดท้ายรอบคัดเลือกอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเอาชนะบราซิล 1-0 จบอันดับ 7 ได้ตั๋วไปลุ้นต่อในรอบเพลย์ออฟ 

ส่วนสูงมันมีผลขนาดนั้นเชียวหรือ ? และนี่คือคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญที่สัมผัสกับประสบการณ์ดังกล่าวมาหลายสิบปี 

“การฟื้นฟูร่างกายจะช้าลง มันไม่ได้ทำให้คุณหยุดวิ่ง คุณจะทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ปัญหาคือมันต้องใช้ความพยายามมากขึ้น และการฟื้นฟูร่างกายจะช้า” มาร์โก เอทเชเวอร์รี หนึ่งในนักเตะระดับตำนานของ โบลิเวีย กล่าวกับ The Athletic 

“ถ้ามีจังหวะที่ต้องใช้ความพยายามมาก อย่างวิ่งยาว 30 เมตร แล้วเปิดบอล คุณจะทำได้ แต่การวิ่งกลับลงมา และพยายามหายใจจะเป็นเรื่องยาก นั่นคือราคาที่ต้องจ่าย” 

นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ของลูกบอลก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อความกดอากาศ อาจจะทำให้ลูกบอลหักเหแบบกระทันหัน ที่ทำให้การเล่นยากขึ้นไปอีก 
  
“ความเร็ว จังหวะ และพื้นที่ที่ใช้ในการครองบอลก็ต่างออกไป นั่นคือเรื่องจริง” เอทเชเวอร์รี อธิบาย

“มันจะเคลื่อนที่เร็วขึ้น มันเหมือนกับบอลพุ่งออกไป และไม่ได้โค้งลงตอนตก แต่ตกลงมาเลย ที่จะสร้างความสับสนให้ผู้รักษาประตู” 

แต่ไม่ว่ามันจะมีส่วนแค่ไหน แต่ตอนนี้ โบลิเวีย ก็กำลังมีลุ้นผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี และจะเริ่มเตะกันในเดือนมีนาคม 2026 

มาลุ้นกันว่าฟุตบอลโลก 2026 ครั้งนี้ จะได้เห็นทีมจากอเมริกาใต้มากถึง 7 ทีมเลยหรือไม่ 
 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Maruak Tanniyom

ลีดส์ ยูไนเต็ด, ญี่ปุ่น, มังงะ