โรนัลดินโญ เป็นที่รู้จักในฐานะนักเตะระดับตำนานของโลก โดยเฉพาะช่วงเวลามหัศจรรย์ที่ บาร์เซโลนา ที่เขาพาเจ้าบุญทุ่มจากแดนกระทิง คว้าทั้งแชมป์ลาลีกา และ แชมเปียนส์ลีก
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น จะพบว่าประตูแรกของ โรนัลดินโญ ในสีเสื้อบาร์ซา ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาปกติ แต่เป็นตอนตีหนึ่ง
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ติดตามไปพร้อมกัน
เกมที่ดึก (หรือเช้าที่สุด) ในประวัติศาสตร์
ย้อนกลับไปในปี 2003 บาร์เซโลนา ได้สร้างความฮือฮา ด้วยการกระชากตัว โรนัลดินโญ กองกลางชาวบราซิลของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมงต์ ตัดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาร่วมทัพด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร
เขาเป็นนักเตะที่บาร์เซโลนา ตั้งความหวัง และเจ้าตัวทำผลงานได้ไม่เลวได้ตั้งแต่นัดแรกในลาลีกา เมื่อช่วยให้ทีมบุกไปคว้า 3 คะแนน เหนือ แอธเลติก บิลเบา แม้จะไม่มีประตูหรือแอสซิสต์ก็ตาม
ทว่า ปัญหาก็มาเกิดขึ้นในเกมนัดต่อมา ที่ บาร์ซา ต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เซบียา เดิมที ลาลีกา กำหนดให้โปรแกรมวีคนี้ เตะกันตั้งแต่วันเสาร์ไปจนวันอังคาร เพื่อให้หลังจากนั้นผู้เล่นสามารถเดินทางไปรับใช้ชาติได้สะดวก แต่เจ้าบ้านอยากเลื่อนให้เร็วกว่านั้น
เนื่องจากในวันที่มีแข่ง (3 กันยายน) เป็นวันเดียวกันกับที่ โรนัลดินโญ ต้องเดินทางไปรายงานตัวกับทีมชาติบราซิล แน่นอน บาร์ซา ก็ไม่อยากเสียแข้งรายนี้ไป แต่ เซบียา ก็ไม่ยอม และให้เหตุผลว่าพวกเขาขายตั๋วไปหมดแล้ว แถมการเปลี่ยนแปลงวันก่อนเตะแค่ 48 ชั่วโมงมันกระชั้นชิดเกินไป
“ลาลีกาให้แข่งกันวันพุธ แต่นั่นหมายความว่า โรนัลดินโญ ต้องออกจากทีมไปร่วมทีมชาติบราซิล” ซานโดร โรเซลล์ รองประธานบาร์เซโลนา ในขณะนั้นกล่าวในสารคดี The Happiest Man in the World
“เราคิดว่า เราคงจะแพ้ถ้าไม่มีเขา ดังนั้นเราจึงเสนอวันอังคารให้ลาลีกาไป พวกเขาปฏิเสธ และหลังจากนั้นเราก็มีไอเดียว่า เราเตะตอนเที่ยงคืน ห้านาที ของวันพุธก็ได้นี่”
“มันบ้ามากๆ แต่เราคิดว่าเราต้องทำ เพราะเราต้องการโรนัลดินโญ”

บาร์เซโลนา ได้รีเช็คกฎอย่างละเอียด จนสุดท้ายก็ได้รับไฟเขียวจากลาลีกาสำหรับไอเดียนี้ และทำให้ “คืนแห่งกาซปาโช” (ซุปเย็นที่ทำจากผักรวม) ตามที่แฟนบอลท้องถิ่นเรียก ได้ถือกำเนิดขึ้น
“ผมจำได้ว่าเราต้องงีบหลับอยู่นานมาก เพราะว่าเกมเริ่มดึกขนาดนั้น” เซร์คิโอ ซานตามาเรีย อดีตแข้งบาร์เซโลนากล่าวกับ ESPN
แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ เพราะด้วยความที่เตะดึก อาจทำให้ผู้ชมเข้ามาดูการแข่งขันน้อยลง และกลยุทธ์ล่อใจแฟนบอล ก็ถูกงัดมาใช้ในหลากหลายวิธี
ไม่ว่าจะเป็น เปิดพิพิธภัณฑ์สโมสรจนถึงเที่ยงคืน, ใช้นักร้องเสียงเทเนอร์ 3 คน มาช่วยปลุกเร้า ไปจนถึงแจก คิตแคต 100,000 แท่ง, กาซปาโซ 40,000 ถ้วย, โยเกิร์ต 30,00 ขวด และของขบเคี้ยวอย่างพวก โดริโทส อีกราว 25,000 ถุง
สุดท้ายเกมนัดนั้นก็มีผู้ชมอดหลับอดนอนเข้ามาชมการแข่งขันถึง 80,000 คน
คุ้มค่าที่มาดู
00:05 น. คือเวลาคิกออฟของเกมระหว่าง บาร์ซา และ เซบียา และแน่นอน ก็มีชื่อของ โรนัลดินโญ ดาวเตะที่พวกเขาขาดไม่ได้ อยู่ใน 11 ตัวจริง
ทว่า มันกลับไม่เป็นอย่างที่ บาร์ซา คิดไว้ เมื่อกลับกลายเป็น เซบียา ที่บุกมาขึ้นนำตั้งแต่ 10 นาทีแรก จากประตูของ โฆเซ อันโตนิโอ เรเยส
“ผมคิดว่า แม่xเอ้ย หลังจากทำทุกอย่างไปแล้ว เรากำลังจะแพ้” โรเซลล์กล่าว
ทว่า โรนัลดินโญ ก็ไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น นาทีที่ 58 เขาพาบอลจากเขตโทษของตัวเอง ก่อนจะพลิ้วหลบผู้เล่น เซบียา 2 คน แล้วตัดสินใจสับไกกว่า 35 หลา บอลพุ่งเช็ดคาน กระดอนลงพื้นเข้าไปตุงตาข่าย ท่ามกลางเสียงเฮของแฟนบอลทั้งสนาม
“เขาเลี้ยง เลี้ยง เลี้ยง แล้วก็ตูม” โทนี ฆวนมาร์ตี นักข่าวจาก Diario Sport ที่อยู่ในเกมนัดนั้นอธิบาย
“มันเป็นคืนสุดมหัศจรรย์ และเป็นช่วงเวลาที่น่าทึ่ง ผมยังจำเสียงระเบิดอย่างสมบูรณ์แบบหลังประตูนั้นได้อยู่เลย ตอนที่เขายิง มันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณคิดว่า ‘นี่คุณกำลังทำอะไรเนี่ย’ และหลังจากนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้น”
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประตูแรกของ โรนัลดินโญ กับบาร์เซโลนาถูก จารึกไว้ว่าเกิดขึ้นตอน 1:30 น. เรียกได้ว่าเป็นประตูที่เช้าที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ
นอกจากความพิเศษ ความสวยงามของประตูนี้ ยังทำให้มันถูกพูดถึงอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา จนกลายเป็นหนึ่งในประตูสุดคลาสสิคของลาลีกา รวมถึงประตูที่ไม่มีวันลืมของตัว โรนัลดินโญ เอง
“เกมแห่งความทรงจำคือเกมแรกของผม เราเริ่มแข่งตอน 00.01 น. ตอนนั้นมันมีข้อถกเถียงกับสมาพันธ์ฯ ทำให้เราต้องเล่นกับ เซบียา ที่คัมป์ นู ในเวลาแบบนั้นตอนกลางสัปดาห์” โรนัลดินโญกล่าว
“มันเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่ผมลงเล่นในเวลานั้น แต่มันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะมันคือช่วงเวลาที่ผมชอบที่สุดของวัน”
“ผมยิงประตูได้ และทั้งสนามก็บ้าคลั่งไปเลย”

และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นความมหัศจรรย์ของ โรนัลดินโญ ในสีเสื้อของ บาร์ซา ก่อนที่เขาจะฝากผลงานไว้อย่างมากมาย ในถิ่น คัมป์ นู และถูกยกย่องให้หนึ่งในเป็นตำนานหมายเลข 10 ของที่นี่มาจนถึงทุกวันนี้