“ผมไม่เปลี่ยน เมื่อไรที่ผมอยากจะเปลี่ยนปรัชญาการเล่น ผมจะเปลี่ยน แต่ถ้ามีคนอยากให้เปลี่ยน ก็คงต้องเปลี่ยนคน (เฮดโค้ช)” รูเบน อโมริม กล่าว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในสิ่งที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักสำหรับ รูเบน อโมริม คือแผนกองหลัง 3 คนของเขา ที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีผลงานย่ำแย่ตั้งแต่ฤดูกาลก่อนมาจนถึงฤดูกาลปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าแผนนี้จะเลวร้ายไปเสียหมด เพราะครั้งหนึ่ง อันโตนิโอ คอนเต้ ก็เคยใช้ระบบหลัง 3 จนก้าวไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว
เขาทำได้อย่างไร? ติดตามไปพร้อมกัน
ครองพื้นที่กลางสนาม
มันคือฤดูกาลแรกของ อันโตนิโอ คอนเต้ ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังเสร็จสิ้นภารกิจกับทีมชาติอิตาลี ในยูโร 2016 ที่จอดป้ายในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
อันที่จริงในช่วงเปิดฤดูกาล คอนเต้ ก็เริ่มด้วยระบบแบ็คโฟร์ก่อน แถมยังทำผลงานได้ไม่เลว ด้วยสถิติ ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1 ใน 5 นัดแรก รั้งอยู่ในโซนหัวตาราง
แต่จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในนัดที่ 6 เมื่อแผนหลัง 4 ของเขา บุกไปพ่าย อาร์เซนอล อย่างขาดลอย 3-0 ทำให้หลังเกมนัดนั้น กุนซือชาวอิตาลี ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ระบบหลัง 3 แผน
มันเป็นแผนที่ คอนเต้ เคยใช้มาก่อนสมัยคุม ยูเวนตุส จนทำให้ “ม้าลายแห่งตูริน” ก้าวไปคว้าแชมป์เซเรียอา และมันก็ดูดีทีเดียวเมื่อนำมาใช้กับเชลซี
เพราะแม้ว่าเชลซี จะทำผลงานได้ดี แต่พวกเขาก็มีปัญหาการครองบอลในแดนกลาง ที่มิดฟิลด์ 3 คนของคอนเต้ ไม่สามารถเชื่อมกับแดนหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็น จนทำให้พวกเขาสูญเสียพื้นที่กลางสนาม
แต่ระบบ 3-4-2-1 ทำให้บอลถูกลำเลียงไปที่ข้างสนามมากขึ้น และทำให้ เอ็นโกโล ก็องเต และ เนมันยา มาติช สามารถผ่านบอลเป็นสามเหลี่ยมกับ วิงแบ็ค, เซ็นเตอร์แบ็ค หรือปีกได้ถนัดขึ้น

นอกจากนี้ การที่ คอนเต้ วางให้ เซซาร์ อัซปิลิกวยตา เป็นเซ็นเตอร์คนที่ 3 และอนุญาตให้เขาเติมเกม ยังทำให้เขากลายเป็นตัวเชื่อมเกมตรงกลางสนาม หรือเปลี่ยนบอลจากฝั่งหนึ่งเป็นอีกฝั่งหนึ่งได้
ทว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือเกมรับที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากในแผนหลัง 4 ปีกที่ คอนเต้ วางไว้ให้เป็นตัวสกรีน ก่อนถึงแนวหลัง แทบไม่มีประโยชน์ในการป้องกัน แต่แผนหลัง 3 หน้าที่นี้ถูกส่งต่อให้วิงแบ็ครับไป จนกลายเป็นการแจ้งเกิดของ มาร์กอส อลองโซ แบ็คซ้ายผู้มาใหม่ของทีม
นอกจากนี้ การให้วิงแบ็คขึ้นหลังตลอดทั้งเกม ยังทำให้ตัวรุกอย่าง เอเดน อาร์ซา ไม่ต้องมาพะวงกับการป้องกัน แถมยังมีอิสระในเกมรุกมากขึ้น และอันตรายยามเล่นลูกโต้กลับ
นอกจากนี้ การเพิ่มเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเข้าไปอีกคน ยังทำให้พื้นที่ในแนวหลังของ เชลซี แน่นขึ้น บวกกับการที่มีสองวิงแบ็คลงมาช่วยเกมรับ ยังทำให้ เชลซี กลายเป็นทีมที่เจาะยาก และสามารถรักษาคลีนชีท 6 นัดติดต่อกัน
สมดุลรุก-รับ
แต่เดิมเกมรุกของเชลซี ในระบบหลัง 4 จะใช้กองกลางทำหน้าที่เป็นตัวทำเกม แต่ประสิทธิภาพจะดร็อปลงอย่างชัดเจน หากเพลย์เมกเกอร์คนนั้นลงไม่ได้ ที่เห็นตัวอย่างได้จากการไม่มี เชสก์ ฟาเบรกัส ในนัดแรกของฤดูกาล ที่กว่าจะได้ประตูชัยต้องรอจนถึงนาทีสุดท้าย
แต่แผนหลัง 3 นี้ ทำให้เกมรุกของ เชลซี โฟกัสไปที่ด้านข้างเป็นหลัก และทำให้พวกเขามีจำนวนผู้เล่นมากขึ้นยามเล่นเกมรุก และกลายเป็นระบบ 2-3-5 ที่จะดัน อัซปิลิกวยตา หรือ ดาวิด หลุยซ์ ขึ้นไปเล่นเป็นมิดฟิลด์อีกคน
นอกจากนี้ การใช้ผู้เล่นตัวที่ 3 วิ่งหาช่องระหว่างกองหลัง และใช้ปีกดึงแบ็คทั้ง 2 ข้างของคู่แข่ง ยังทำให้ วิงแบ็คอย่าง อลองโซ และ วิคเตอร์ โมเซส มีพื้นที่มากขึ้นในการสอดขึ้นไป จนสามารถยิงรวมกันได้ถึง 9 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2016/17

อย่างไรก็ดี การใช้แผนหลัง 3 ของ คอนเต้ ไม่ได้ทู่ซี้หรือยัดเยียด แต่เป็นการปรับให้เหมาะกับนักเตะที่มี ไม่ว่าจะเป็นการให้ หลุยซ์ ถอยลงต่ำ แล้วเปิดบอลยาวจากแนวลึก หรือให้ อลองโซ วิ่งขึ้นลงตลอดทั้งเกม จากความสามารถในด้านความอึดของเขา
หรือการให้ กองเต ทำหน้าที่เก็บกวาดตรงกลางสนาม จนทำให้เขามีสถิติเเข้าปะทะมากถึง 3.6 ครั้ง และตัดบอล 2.4 ครั้งต่อเกม จนติดทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้ อาร์ซา ได้เฉิดฉาย ด้วยการทำไปถึง 16 ประตู กับอีก 5 แอสซิสต์ พร้อมด้วยสถิติคีย์พาสเฉลี่ยมากถึง 2.4 ครั้งต่อเกม
เพราะเมื่อไม่จำเป็นต้องเล่นเกมรับ ปีกชาวเบลเยียม ก็กลายเป็นผู้เล่นอิสระ และสามารถเคลื่อนที่ไปทั่วสนาม เช่นกันกับตรงกลางและฝั่งขวา จนทำให้เขากลายเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง
สุดท้ายในฤดูกาลนั้น ระบบ 3-4-2-1 ของ คอนเต้ ก็ทำให้ เชลซี คว้าชัย 13 นัดติดต่อกัน พร้อมกับยิงไปถึง 85 ประตู และเสียงเพียง 16 ลูกเท่านั้น

และมันก็ดีพอที่จะทำให้ เชลซี ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยแต้มที่ทิ้งห่าง ท็อตแนมป์ ฮ็อตสเปอร์ อันดับ 2 ถึง 7 คะแนน
ขณะเดียวกัน มันยังทำให้ คอนเต้ กลายเป็นกุนซือคนแรก คนเดียว และคนล่าสุด ที่พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยระบบกองหลัง 3 คน