วาทะ โชเซ มูรินโญ : โค้ชที่ยอมตายไปกับไอเดียของตัวเองคือคนโง่

Nopphasin Kulabburi

วาทะ โชเซ มูรินโญ : โค้ชที่ยอมตายไปกับไอเดียของตัวเองคือคนโง่ image

โชเซ มูรินโญ ไม่เคยเลือกคำพูดอ้อมค้อม เขาเคยพูดอย่างเผ็ดร้อนว่า

“เรากำลังอยู่ในยุคที่โค้ชหลายคนพยายามทำในสิ่งที่มันไม่เวิร์ก และสุดท้ายก็ ‘ตาย’ แต่พวกเขาก็ยังพูดว่า

‘ผมตายก็จริง แต่ผมตายไปพร้อมกับไอเดียของตัวเอง’ … เพื่อนเอ๋ย ถ้านายตายเพราะไอเดียของตัวเอง งั้นนายมันก็โง่แล้ว”

นี่คือถ้อยคำตรงไปตรงมาที่มูรินโญให้สัมภาษณ์กับสถานี Canal 11 ของสหพันธ์ฟุตบอลโปรตุเกส เมื่อถูกถามถึงวัฒนธรรมโค้ชยุคใหม่ที่มักจะยึดมั่นกับสิ่งที่เรียกว่า “ไอเดีย” หรือ “ปรัชญา” มากกว่าผลลัพธ์ในสนาม

และมันทำให้เราย้อนนึกถึงอีกคำพูดดังของเขาหลังพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ อาแจ็กซ์ 2-0 ในรอบชิงยูโรปาลีกปี 2017 

“ฟุตบอลมีพวกกวีเยอะ แต่กวีก็ไม่ค่อยได้แชมป์หรอก”

สำหรับมูรินโญ โลกฟุตบอลถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจน  “นักปฏิบัติ” ที่พร้อมทำทุกทางเพื่อถ้วยแชมป์ กับ “กวี” ผู้ฝันไกลที่พร้อมตายเพื่อความคิด แม้จะไม่ชนะก็ตาม

กุนซือที่ “ยอมตาย” เพื่อความคิด

สิ่งที่มูรินโญว่าไม่ได้ไร้ที่มา ตัวอย่างมีให้เห็นเต็มไปหมดในยุคนี้:

  • รูเบน อาโมริม ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ถูกถามถึงฟอร์มย่ำแย่ก็ยังยืนยันว่า “ผมจะไม่เปลี่ยนปรัชญา ถ้าคุณอยากให้เปลี่ยน งั้นคุณต้องเปลี่ยนโค้ช”

  • อังเก้ ปอสเตโคกลู ที่เคยกล่าวในช่วงวิกฤตกับสเปอร์สว่า “ถ้าใครอยากให้ผมเปลี่ยนแนวทาง ก็บอกเลยว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้น”

  • รัสเซล มาร์ติน ที่เริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมด้วยการยึดติดสไตล์การครองบอล แม้จะตกงานก็ยังยืนยันว่า “อย่างน้อยผมก็โดนไล่ออกเพราะทำในสิ่งที่เชื่อ”

  • อันเดรีย ปีร์โล ที่เคยพูดหลังโดนปลดจากยูเวนตุสว่า “ผมยอมแพ้ทั้งที่ครองบอล 90% ดีกว่าใช้ทั้งเกมเอาตัวรอดในกรอบเขตโทษแล้วหวังยิงสวนกลับ”

ตามนิยามของมูรินโญ พวกนี้อาจถูกมองว่า “โง่”  แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีใครในนั้นโง่เลย

อาโมริมได้งานเพราะพาสปอร์ติ้งเป็นแชมป์ลีก โปรตุเกส
ปอสเตโคกลูประสบความสำเร็จมาแล้วทุกที่ตั้งแต่ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สกอตแลนด์
รัสเซล มาร์ตินคือนักคิดรุ่นใหม่ที่พาเซาแธมป์ตันขึ้นพรีเมียร์ลีก
ส่วนปีร์โลคือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ และสอบใบอนุญาตโค้ชโปรไลเซนซ์เกือบเต็มคะแนน

แต่สิ่งที่พวกเขามีร่วมกันคือ “ความดื้อ”  และในโลกฟุตบอล ความดื้อบางทีก็อาจเป็นดาบสองคม

กวีกับนักปฏิบัติ ต่างก็พ่ายแพ้ได้

แม้มูรินโญจะวิจารณ์โค้ชที่ “ยอมตายเพื่อไอเดีย” แต่ความจริงเขาเองก็ไม่ใช่ตัวอย่างของคนที่ปรับตัวสำเร็จเสมอไป
เพราะตั้งแต่ปี 2015 เขาถูกไล่ออกมาแล้ว 4 ครั้ง และมีเพียงแค่ถ้วยแชมป์คอนเฟอเรนซ์ ลีก กับโรม่าในปี 2022 เท่านั้นที่เป็นเกียรติประวัติช่วงหลัง

ตำแหน่งในลีกตลอด 10 ปีหลังของเขาก็สะท้อนความจริง  ตกไปอยู่อันดับ 16 กับเชลซี, โดนไล่ออกจากยูไนเต็ดตอนทีมอยู่อันดับ 6, กับสเปอร์สก็ไม่เกินที่ 6-7, ส่วนโรม่าก็วนเวียนอยู่กลางตาราง ก่อนถูกเด้งในที่สุด

พูดอีกแบบก็คือ แม้แต่นักปฏิบัติที่ไม่ชอบ “กวี” ก็ล้มเหลวได้เหมือนกัน

ยุคที่ฟุตบอลเปลี่ยนเร็วเกินกว่าปรัชญาจะหยุดทัน

เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือกรณีศึกษาที่ชัดที่สุด เขาคือคนที่มี “หลักการ” ชัดเจน แต่ในรายละเอียดเล็ก ๆ เขาปรับเปลี่ยนเสมอ เพื่อให้เข้ากับยุคที่ฟุตบอลเน้นเกมสวนกลับมากขึ้น

ขณะที่ ปอสเตโคกลู ที่เคยดื้อไม่ยอมเปลี่ยนแนวทาง สุดท้ายก็ต้องหันมาใช้เกมที่เรียบง่ายและปลอดภัย จนคว้าแชมป์ยูโรปาลีกกับสเปอร์สได้ในที่สุด

ส่วนรัสเซล มาร์ติน ที่พาเซาแธมป์ตันขึ้นพรีเมียร์ลีก ก็โดนไล่ออกเพราะยังเล่นแบบครองบอลเหมือนเดิมจนทีมโดนลงโทษซ้ำ ๆ

โลกฟุตบอลยุคนี้ไม่เปิดพื้นที่ให้ใครดื้อด้านเกินไปอีกแล้ว

อาโมริม : ปรัชญาที่กลายเป็นข้อจำกัด

ในกรณีของรูเบน อาโมริม ความดื้อไม่ใช่แค่เรื่องปรัชญาเชิงนามธรรม แต่คือการยึดติดกับระบบ 3-4-3 ที่เคยพาเขาประสบความสำเร็จที่ลิสบอน

เขาพูดชัดว่า “ผมไม่มีไอเดียอื่น” และนี่แหละคือปัญหาใหญ่  เพราะฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเรียกร้องให้โค้ชมีแผนสำรองเสมอ

ใน 42 เกมลีกหลังสุด ยูไนเต็ดเปลี่ยนระบบการเล่นกลางเกมเพียง 7 ครั้ง ต่ำที่สุดในบรรดาทีมพรีเมียร์ลีกช่วงเดียวกัน ทั้งที่ทีมตกเป็นฝ่ายตามหลังอยู่บ่อยครั้ง

นี่ไม่ใช่แค่ “ความดื้อ” แต่มันคือ “ความแคบ” ของการมองฟุตบอล

สุดท้ายแล้ว ฟุตบอลไม่ใช่พื้นที่ของ “กวี” เพียงอย่างเดียว

แน่นอน ทุกโค้ชต้องมีวิสัยทัศน์ ต้องมีแนวทางที่ตนเองเชื่อ แต่ในโลกความจริง ความเชื่อนั้นต้องถูกปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์เสมอ

การ “ยอมตายเพื่อความคิด” อาจฟังดูโรแมนติก แต่ในพรีเมียร์ลีกที่ผลลัพธ์เปลี่ยนอนาคตของคุณได้ในพริบตา ความดื้อด้านเกินไปก็อาจกลายเป็นหลุมศพให้ตัวเองเร็วขึ้น

หรือพูดอีกอย่าง  จะเป็นกวีหรือนักปฏิบัติ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า คุณพร้อมจะยืดหยุ่นเพื่อเอาตัวรอดแค่ไหนในโลกฟุตบอลที่ไม่เคยหยุดเปลี่ยนแปลง

บทความที่เกี่ยวข้อง

Nopphasin Kulabburi

นักเขียน Sporting News Thailand ที่ติดตามทั้งกีฬาฟุตบอล, บาสเก็ตบอล รวมถึงแวดวงอีสปอร์ต